ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สะเทือน ๓ โลก

๒๑ เม.ย. ๒๕๖๑

สะเทือน โลก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องทำอย่างไร

ทำอย่างไรให้จิตมีกำลังตั้งมั่นเข้มแข็งให้สามารถระลึกถึง พุทโธแล้วสะเทือนไป โลกธาตุ ตามที่พระอริยสงฆ์ได้เคย กล่าวไว้

ตอบ : นี่คำถามนะจะทำอย่างไร เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ บริกรรมพุทโธให้สะเทือน โลกธาตุ แบบ พระอริยสงฆ์ที่กล่าวไว้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าจะทำแบบใด จะทำแบบใด เห็นไหม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จ- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ คำว่าจะสอนใครได้หนอมันลึกลับซับซ้อน จนอธิบายไม่ได้ อธิบายให้เราเข้าใจไม่ได้ เพราะอะไร เพราะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา เป็นผู้รู้แจ้งโลก รื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ โลกธาตุ แล้วจะสอนให้คนเข้าใจไม่ได้

นี่ไง ที่มันยากมันยากตรงนี้ มันยากตรงนี้จนองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทอดธุระนะ เวลาทอดธุระแล้ว เห็นไหม พรหมมานิมนต์ . . องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาปรารถนามาเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนามารื้อสัตว์ ขนสัตว์ เกิดมา อสงไขย อสงไขย ๑๖ อสงไขย มีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีคู่สร้างสมบารมีคือเทวทัต คือชูชก

พวกที่สร้างสมมา สร้างสมมาด้วยกัน เห็นไหม พวกนี้สร้างบุญมาด้วยกัน พอสร้างบุญมาด้วยกัน สร้างบาปมาด้วยกัน เห็นไหม มันก็มีสถานะที่จะเสมอกันที่จะสามารถรู้ได้ แต่ โดยทั่วไป โดยทั่วไป เห็นไหม มันจะรู้ได้มากน้อยแค่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว เป็นศาสดา เทวมนุสสานัง สอนมนุษย์ สอนเทวดา สอนพรหม สอน โลกธาตุเลย แต่เวลาบอกจะมาสอนคนบอกอืม!” ทอดธุระ เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำถามๆ เขาถามว่าจะทำอย่างไร ให้จิตเข้มแข็ง ให้ระลึกถึงพุทโธ แล้วสะเทือนไป โลกธาตุ” 

ธาตุไหนล่ะ ยาธาตุน้ำแดงไง ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว ยาธาตุ ยาธาตุ สะเทือน นี่ โลกธาตุ เห็นไหม 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ สะเทือน โลกธาตุ มันสะเทือนจริงๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตรัสรู้ธรรม โลกธาตุหวั่นไหว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธัมมจักฯ โลกธาตุหวั่นไหว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าปลงอายุสังขาร โลกธาตุไหวหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน โลกธาตุไหวหมด ไหวไหม โลกธาตุหวั่นไหวเลย มันไหวจากภายนอกใช่ไหม นี่คืออำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาหลวงตาท่านพูดของท่านนะ เวลาท่านสำเร็จธรรม ท่านตรัสรู้นั่นน่ะ บอกว่ามันสะเทือนหัวใจขณะแรงมาก สะเทือนจนไหวไปทั้งหมดเลย ไหวไปหมดเลย นี่ขนาดว่าคน ที่มีบารมี เห็นไหม เวลาท่านพูดถึงอาจารย์สิงห์ทอง เห็นไหม ไปเงียบๆ เลย เวลาความหวั่นไหว ความกระเทือนเลื่อนลั่นมัน อยู่ที่อำนาจวาสนา ใครสร้างมามาก สร้างมาน้อย วาสนาของบุคคลไม่เหมือนกัน นี่เป็นของส่วนบุคคลนะ นี่พูดถึงของส่วนบุคคลเลย ของผู้ที่ตรัสรู้เลย 

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดว่าตรัสรู้โลกธาตุไหวหมด สะเทือนเลื่อนลั่น ไหวทั้งนั้น จนเทวดาตกใจหมดล่ะ เวลาท่านเทศน์นะ นี่พูดถึงความจริง เราบอกความจริงก่อน พอบอกความจริงแล้ว เวลาหลวงตาท่านพูด หลวงตาท่านพูดบ่อยเวลาพุทโธสะเทือน โลกธาตุ แล้วเราสะเทือน ไหมล่ะ เราไม่สะเทือนแล้วมันยังผลักไสด้วย แล้วยังไม่เชื่ออีก ต่างหาก เวลาพุทโธสะเทือน โลกธาตุมันสะเทือนในใจของหลวงตานั่นน่ะ มันสะเทือนจริงๆ สะเทือน โลกธาตุเลย พุทโธๆ เนี่ย

แต่ของพวกเรา เวลาเราจะทำอย่างนั้นบอกว่าจะให้จิตใจเข้มแข็งให้เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นสมมุติไง ดูสิ คำว่าพุทโธๆเวลาคำว่าพุทโธนะพุทธานุสติ เวลาพุทโธ แล้วพุทโธมันอยู่ ที่ไหนล่ะ เวลาพุทโธ เห็นไหม ก็เขียนคำว่าพุทโธไว้ หรือ ปะไว้ที่ไหนหรือ พุทโธเป็นทฤษฎี คำว่าทฤษฎีพุทธานุสติ เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าหายใจเข้า นึกพุท หายใจออกนึกโธ คำว่าพุทโธในตำรามันก็มี ตาม ตัวหนังสือก็มี พุทโธวิธีการมันมีทั้งนั้นจะทำหรือเปล่า มันไม่ได้ ทำ แล้วเวลาทำ ทำผิดๆ ถูกๆ ทำแล้วมันขาดสติ ทำแล้ว ไม่ได้ผล มันก็ไม่ได้ผลไง

แต่ถ้ามันจะได้ผล มันจะได้ผลตั้งแต่เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจ เราตั้งสติไว้ เวลาครูบาอาจารย์ท่าน สอน ท่านสอนเรื่องสติก่อน ถ้ามีสติอยู่ความเพียรนั้นก็จะเป็นความเพียรโดยสมบูรณ์ ถ้าขาดสติเป็นสักแต่ว่า ท่องบ่นเฉยๆ เหมือนลอยๆ ท่องบ่น ท่องบ่นไปนะ แต่สติไปไหนก็ไม่รู้ ใจ ไปไหนก็ไม่รู้ ตาเหม่อลอยไป พุทโธๆ พุทโธไม่รู้เรื่อง แล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นไม่ได้หรอก มันต้องมีการฝึกหัด

ถ้ามีการฝึกหัด เห็นไหม เริ่มต้นถ้ามันดีขึ้นมันก็จะดีขึ้น ถ้าแบบว่ามันไม่ได้ผล เวลาไม่ได้ผลนะ มันก็ย้อนกลับมา มันมีตัวแปรมหาศาลเลย มันมีตัวแปรมาตั้งแต่จริตนิสัย มีตัวแปรมาตั้งแต่อำนาจวาสนา มีตัวแปรมา มีตัวแปรมากมายเลย พอมีตัวแปรมากมายนะ ถ้ามีตัวแปรมากมาย องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าท่านถึงฉลาด ท่านเป็นศาสดาใช่ไหม ท่านถึงวางกรรมฐานไว้ ๔๐ ห้อง วางการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ นี่ไง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ในวิธีการมันก็แตกแขนงออก เป็นหยาบ กลาง ละเอียด มันจริตนิสัย ในวิธีการหนึ่งนะ เพราะคนมันทำมานี่ ไม่เหมือนกันทั้งสิ้น แล้วเวลามันเป็นไป ข้างหน้า นี่พูดถึงว่าความตั้งใจทำที่มันจะทำได้หรือไม่ได้ไง ถ้าทำไม่ได้ๆ คำว่าตัวแปร ตัวแปรตัวแปรมันมากใช่ไหม 

พอตัวแปรมันมาก คำถาม เพราะเขาถามสดกับเรา หลายครั้งเรื่องนี้ เรื่องบอกว่าอยากจะรู้อยากจะเห็น การสะเทือน โลกธาตุ” 

ความสะเทือน โลกธาตุ พระที่ทำพระที่ปฏิบัติเอง ถ้ามันไม่ใช่จริตนิสัยทางนี้ ยังไม่เคยทำอย่างนี้ด้วย เพราะแม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังแตกแขนงไปเป็นหลายประเภท แล้วถ้าแตกแขนงเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว คำว่าสะเทือน โลกธาตุต้องเข้าใจหมด ต้องรู้หมด ถ้าคำว่ารู้หมดเพราะมันสะเทือน โลกธาตุ อะไรสะเทือน หัวใจนี้ สะเทือนนะ สะเทือน โลกธาตุ พอสะเทือน โลกธาตุ เพราะหัวใจของผู้ที่สะเทือน โลก มันเปลื้องกิเลสหมดแล้ว มันทะลุทั้ง โลกธาตุ เวลามันพุทโธมันสะเทือนหมดล่ะ มันสะเทือน โลกธาตุ สะเทือนไปหมดเลย คำว่าสะเทือน โลกธาตุของหลวงตาเพราะท่านรู้จริงเห็นจริง ตามความเป็นจริงของท่าน 

แต่ไอ้ของเรา เรากำหนดแต่ชื่อไง มันเหมือนกับว่ามีคน ไปซื้ออาหารมาใช่ไหม มันมีบรรจุภัณฑ์มาใช่ไหม เขากินอาหารหมดเขาก็ทิ้งกล่อง เราไปเจอแต่กล่องมา ได้แต่กล่องมา แล้ว เปิดกล่องไม่เห็นมีอะไร ทำไมเราไม่มี ทำไมเราไม่ได้ อ้าว! ก็เอ็งไม่ได้กิน เอ็งไม่มีวาสนา แต่เขากินหมดแล้วเขาโยนกล่อง ทิ้งด้วย ไอ้นี่พุทโธแต่เปลือกไง มันไม่ได้จริงหรอก 

โธ่! ถ้าพุทโธจริงๆ นะ เวลาพุทโธมันต้องเริ่มฝึกหัด คนที่มันจะเป็นจริง เพราะเวลาคำว่าพุทโธสะเทือน โลกธาตุเราพูดบ่อยมาก เราพูดบ่อยเพราะมันเป็นข้อเท็จจริง แต่คำว่าข้อเท็จจริงมันต้องเป็นคนที่รู้จริงพูด มันถึงจะมีเหตุมีเนื้อหาสาระตามความเป็นจริง เวลาคนที่ไม่เป็น ไม่เป็น มันพูดแล้วมันถากมันถางนะ เพราะมันไม่เป็น ไม่เป็นแล้ว มันดูถูก มันดูถูกนะ 

เหมือนเรานี่ เรานี่นะ เห็นเศรษฐีเราก็งงนะเพราะอะไร เพราะเราเป็นพระใช่ไหม เราไม่มีเงินหรอก เพราะเราไม่มีธุรกิจเอ๊ะ! เขามีเป็นพันๆ ล้าน เขามีอย่างไรวะ เฮ้ย! คนที่เขามีเงินเป็นพันๆ ล้าน เขาทำอะไรมาเขามีเป็นพันๆ ล้านเราก็สงสัย จริงไหม เพราะเราไม่เคยมี เหมือนกัน ไอ้คนที่มันทำพุทโธ ไม่ได้มันก็ไม่รู้จักหรอก แต่คนที่ทำพุทโธได้ ไอ้คนที่มีเงินพันล้านเขาจะมีเงินพันล้านได้อย่างไร

. เขาต้องมีธุรกิจ คนที่มีธุรกิจทุกๆ คน นักธุรกิจทำธุรกิจหลายๆ แขนง แล้วทำไม่ประสบความสำเร็จมหาศาลเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่ว่ามีธุรกิจแล้วมันจะประสบความสำเร็จไปหมดทุกๆ คน ทำธุรกิจ เห็นไหม เรามีธุรกิจ เรายังมีธุรกิจหลายแขนงเพื่อกระจายความเสี่ยง ความเสี่ยงของเรา สิ่งใดถ้ามันประสบความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ดีงาม ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จมันก็เป็นกระจายความเสี่ยงไป แม้แต่ธุรกิจแต่ละชนิดมันยังไม่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจชนิดเดียวกันถ้ามีคู่แข่งขันมีต่างๆ แล้วก็ต้องมีการแข่งขันกัน มันก็ต้องลดต้นทุนต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ จนมีเงินเป็นพันๆ ล้าน เขาต้องมีสติมีปัญญา มีการกระทำมามหาศาลแล้วเขาถึงจะมีเงินพันๆ ล้าน แล้วไอ้เราเนี่ยเฮ้ย! พันล้านเป็นอย่างไรวะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาว่าพุทโธสะเทือน โลกธาตุ โอย! พุทโธเป็นอย่างไรวะ เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! เราบอกธุรกิจที่เขาเป็น พันๆ ล้านเขาทำอะไรมา พุทโธสะเทือน โลกธาตุ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามตั้งสติไว้ มันวิตก วิจาร เวลาวิตก วิจาร มันชัดเจนขึ้น มันเบาบางขึ้น มันวางวิตก วิจาร เห็นไหม ปฐมฌาน เราจะพูด ถึงสมาบัติเลย ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ 

เวลามันขึ้น เห็นไหม เวลาขึ้นเวลาเราทำปฐมฌาน ทุติย-ฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เวลามันไป เห็นไหม อันนี้เป็นอะไร เป็นฌานเป็นสมาบัติ ถ้าเป็นฌานสมาบัติสะเทือน โลกธาตุ ไหม ไม่! ไม่สะเทือนเพราะอะไร เพราะจิตมันกำหนด จิตมันกำหนดออกมาข้างนอก ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถ-ฌาน เพราะจิตมันกำหนดแล้ว ถ้ามันขึ้นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เวลามันลงมาล่ะ เวลามันขึ้นมันลงอย่างนี้ มันคืออะไร นี่คือความหยาบ ละเอียด ความหยาบ ละเอียด จากหยาบไปหาละเอียด ความที่มันการเคลื่อนมาจากหยาบไปละเอียด ละเอียดจนละเอียดขึ้นไปเรื่อย ใครเป็นคนสั่งการมัน จิตเป็นผู้รับรู้ใช่ไหม มันไม่ใช่จิตใช่ไหม ไม่ใช่จิต มันก็ส่งออกอยู่ข้างนอกไง นี่ไง มันถึงไม่ใช่จิตไง

นี่พูดถึงสมาบัตินะ แล้วพูดถึงสมาบัติมันก็ส่งออก เวลาพูดถึงกสิณ กสิณก็เพ่ง กสิณเขียว กสิณแดง กสิณไฟ เพ่งออกหมด เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฌานสมาบัติ สมาบัติ มากับอาฬารดาบส อุทกดาบส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติเลยว่าศีล ฌาน ปัญญา ไม่มี มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา 

แล้วสมาธิๆ สมาธิ เห็นไหม ที่กำหนดพุทโธสะเทือน โลกธาตุ สะเทือน โลกธาตุ ถ้ามันสะเทือน โลกธาตุ เห็นไหม เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามาด้วยสติด้วยปัญญาของตน ถ้าด้วยสติปัญญาของตน ถ้ามันละเอียดจริง เห็นไหม เวลามันเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้ามันเข้ามาเป็นความจริงถ้ามัน เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตที่ไม่พาดพิง อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้ามันไม่มีพาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มันต้องมีสติของมัน เห็นไหม ถ้ามีสติของมัน เพราะคำว่ามีสติ ของมันสมถะยกขึ้นสู่วิปัสสนา

คนที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาเอาอะไรยกขึ้นสู่วิปัสสนา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วถ้ามันไม่เข้าสู่สมาธินะ มันไม่เข้าสู่สมาธิแต่มันใช้ปัญญา ปัญญานั้นนั่นคือ โลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาโลกๆ ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คนที่ปฏิบัติ ปฏิบัติกันอยู่ว่าใช้ปัญญา ใช้ปัญญานั่นน่ะ โทษนะ พูดภาษากูเลยตอแหล! ตอแหลทั้งนั้น เพราะคำว่าปัญญาปัญญานั้นมันปัญญาโลกๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ถ้ามันจะเป็นไปได้นะ จิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบแล้วจิตมันจะเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง แล้วการที่จิตเห็น สติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง มันจะทรงสติปัฏฐาน ที่ มันเห็น ทรงกาย ใครเห็นกาย เห็นแล้วจะให้กายอยู่กับเราใครทำได้ เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ใครทำได้ ไม่มีหรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนภาวนาเป็นเขารู้ มันเป็นไปไม่ได้ 

แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ เห็นไหม ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้ว จิตสงบแล้วถ้ามีสติปัญญา เพราะถ้ามันจิตสงบเข้ามาแล้ว เวลาทำพุทโธที่ว่าตัวแปรมันมาก ตัวแปรมันมาก ตัวแปรของคนมันมากมายนะ จิตสงบแล้วถ้ามันไม่เห็นกาย บางคนไม่มีวาสนาอย่างไรก็ไม่เห็นนะ พอไม่เห็นขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านรู้เท่าทัน ท่านบอกให้รำพึง รำพึงก็นึกในสมาธิไง สมาธินึกได้ ในสมาธินึกได้ ถ้าในสมาธินึกไม่ได้ ศีล สมาธิ แล้วปัญญามันเกิดอย่างไรล่ะ ปัญญาที่มันเกิดในสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ 

ถ้าปัญญามันไม่ได้เกิดสัมมาสมาธิ คนยังไม่รู้จักมรรค คนยังไม่รู้จักภาวนามยปัญญา ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นแล้วไม่เข้าใจ แล้วเวลาพูดนะ เวลาเราจะระลึกพุทโธให้สะเทือน โลกธาตุใช่ไหม เราก็ห้ามคิดเลยไง ห้ามคิด คิดแล้วมันจะฟุ้งซ่าน ห้ามคิด ห้าม คิด ห้ามคิดถ้ามันมีสติปัญญาถ้ามันละเอียดเข้ามามันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่เวลามันห้ามคิด ห้ามคิดจนมันไม่คิดเลย มันคิดไม่ได้เลย พอห้ามคิด ห้ามคิด ไม่ให้มันคิด เวลาเป็นสมาธิแล้วก็ห้าม คิดไง ห้ามคิดคือห้ามคิดไง มันก็เลยยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็นอีก

ถ้ามันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง นี่สมถะยกขึ้นสู่วิปัสสนา แต่ทางอภิธรรมๆ นั่นน่ะ เขาเริ่มต้นใช้ปัญญาเลย มีสติมีปัญญาพร้อมไปเลย ปัญญาตลอด ปัญญาอย่างนี้เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้ที่ว่าใช้ปัญญา ปัญญาอยู่นี่ไง แล้วปัญญาอย่างนี้ พอมันเท่าทันแล้วมันหยุดหมด หยุดแล้วคืออะไร สตัฟฟ์จิตไง มันไม่เข้าสู่ไง มันไม่เข้าสู่สถานะ เห็นไหม จิตจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาไง มันเป็นไปไม่ได้ไงว่าสะเทือน โลกธาตุ ที่พูดมานี้มันไม่สะเทือนหมดเลย เพราะมันเข้าสู่โลกธาตุไม่ได้ มันเข้าสู่จิตไม่ได้ มันเข้าไม่ได้ 

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ถ้าจิตมันสงบแล้วจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันรู้มันเห็นเป็นตามความเป็นจริงนะ ถ้ามันรู้มันเห็นตามความเป็นจริง รู้เห็นตามความ เป็นจริง มันคืออะไร ที่จะสะเทือน โลกธาตุเพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจ หัวใจนี่นะถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงมันจะสั่นไหวมาก แค่เรา คนที่ทำผิด คนที่คิดร้าย แล้วถ้าเราคิดได้เราจะเสียใจไหม เสียใจ มีหลายๆ คนที่คิดถึงการกระทำของเรา แล้วสิ่งที่มันไม่ดี ที่ เราเคยทำความไม่ดีไว้แล้ว เราจะนั่งร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายเลยแหละว่าเราไม่ควรทำ เราไม่ควรทำ นี่ขนาดว่าเป็นเรื่องโลกๆ เขายังสำนึกได้ เขายังรู้ได้

แล้วคนนะ เวลาจิตสงบแล้วถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง คือมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง มันเห็นกิเลสที่ไอ้มืดบอดที่มันปิดตามา มันปิดหัวใจที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาแบบไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเห็นช่องทาง เห็นแหล่งเกิด เห็นที่มาที่ไป ทำไมมันจะไม่สะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจ นี่ไง สะเทือน โลกธาตุไง ที่ใจมันเวียนว่ายตายเกิดใน โลกธาตุนี้ไง ใจที่มันเวียนว่ายตายเกิดใน โลกธาตุนี้ พุทโธๆ มันสะเทือน โลกธาตุ สะเทือนหมดเลย ถ้าคนทำจริง แล้วทำได้จริง 

แต่มันทำไม่จริง แล้วทำไม่ได้จริง มันไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ หรอก มันไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนเข้าใจนะจะทำอย่างไรให้มันสะเทือน โลกธาตุมันสะเทือน คำว่าสะเทือนใจ สะเทือนใจตอนนี้ไปดูบุพเพสันนิวาสก็สะเทือนใจ ถ้าคำว่าสะเทือนใจคำว่าสะเทือนใจเห็นคนรังแกกันก็สะเทือนใจ คนมาฉ้อโกงเราก็สะเทือนใจ สะเทือนใจ สะเทือนใจระดับไหน สะเทือนใจ สะเทือนใจอะไร มันสะเทือนใจ สะเทือนเรื่องชีวิตไง สะเทือนเรื่องกระเป๋าไง ต้องจ่ายเงินไง สะเทือนในภาระรับผิดชอบไง มันไม่ใช่สะเทือนสั่นไหวโลกธาตุไง มันไม่ได้สะเทือนสั่นไหวถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันคนละเรื่อง คนละวุฒิภาวะ ในการภาวนามันมีสูงมีต่ำ มันมีลึกซึ้งแตกต่างกัน คนไม่เคยภาวนา ภาวนาไม่เป็นมันก็อ้างอิงไปหมด อ้างอิงไปหมดนะ 

ฉะนั้น ว่าสะเทือน โลกธาตุ เวลาสะเทือน โลกธาตุ มันสะเทือน โลกธาตุจริงๆ นะ แล้วคำว่าสะเทือน โลกธาตุพุทโธสะเทือน โลกธาตุ เพราะมันสะเทือน โลกธาตุ ในใจของหลวงตา สะเทือนเลื่อนลั่น 

แล้วพอสะเทือนระลึกพุทโธ พุทโธมันเข้าถึงทุกชีวิต แต่ของเราไม่ถึง เพราะอะไร เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าภาษาเรานะเรามีครอบครัวของมาร มันมีแต่ลูกหลานของมันไง ตั้งแต่หลานของมัน ลูกของมัน พ่อของมัน ปู่ของมันเป็นชั้นๆ กันไว้ในหัวใจของเรา มันสะเทือนไหม มันสะเทือนมามันติดกิเลสหมดล่ะโอ้ย! ไม่มีหรอก พุทโธไร้สาระ พุทโธเป็นสมถะ พุทโธไม่มี” 

นักรบกองทัพใดไม่มีอาวุธจะไปรบกับใคร นักรบสมัยโบราณเขาก็มีหอกมีดาบ นักรบสมัยนี้เขาก็มีปืน นักรบต่อไป เขารบกันด้วยคอมพิวเตอร์ นักรบเขาก็ต้องมีอาวุธของเขา นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราจะไปรบกับกิเลส เรามีอะไรไปรบพุทโธไม่มีประโยชน์ พุทโธมันเอ็งไม่มีอาวุธอะไรเลย มือมึงไม่มีอะไรเลย ศีล สมาธิ ปัญญาไม่มีอยู่ในมือเลย เอ็งจะไปรบ กับใคร ก็สร้างสนามรบเทียมขึ้นมาไง คิดเอาเอง นึกเอาเองไง สร้างสนามรบขึ้นมาในสมองไง แล้วตัวเองก็ได้ต่อสู้ มีข้าศึก สมมุติ ข้าศึกขึ้นมาก็มีกองทัพธรรมขึ้นมาต่อสู้กัน นึกภาพขึ้นมา ก็เลยเป็นวิปัสสนึกไง วิปัสสนึกเพราะอะไร 

เพราะมีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาให้เป็นต้นแบบ มีทฤษฎีไง มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจ้ามาเป็นต้นแบบ แล้วยังมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการก็เป็นต้นแบบ มันก็สร้างภาพมาใน สมองของตน สร้างภาพในจิตของตน แล้วก็ต่อสู้กัน ต่อสู้กัน แล้วก็จบไปเป็นเรื่องๆ ไป แล้วก็ได้คุณธรรม ไร้สาระ ไร้สาระมาก

ฉะนั้น สิ่งที่พูดบอกว่าทำอย่างไรจิตจึงจะเข้มแข็งให้สามารถระลึกถึงพุทโธให้สะเทือน โลกธาตุ ตามที่พระอริยสงฆ์ท่านกล่าวไว้” 

พระอริยสงฆ์ท่านกล่าวไว้ ท่านทำไว้ เพราะท่านทำแล้วมันสดๆ ร้อนๆ มันชัดมันเจนในใจของท่าน มันสดๆ ร้อนๆ แล้วมันชัดเจนในใจของท่านนะ เวลาท่านเน้นย้ำกับพวกเราให้เห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของมันมหาศาล แต่เพราะพวกเราทำแล้วมันทำไม่ได้ มันเลยแบบกองทัพที่ไร้อาวุธ มีกองทัพนะ มีชีวิต มีความปรารถนา มีความต้องการ แต่อาวุธของเราไร้สาระ อาวุธของเราก็อาวุธเด็กเล่น นึกขึ้นมาเอง สร้างขึ้นมาเอง แล้วเวลากิเลส กิเลสก็สร้างมันขึ้นมาเอง คิดว่าอาวุธอย่างนี้ทำลายมันได้ แต่จริงๆ แล้วไร้สาระ มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้ามันไม่เป็นความจริง ฉะนั้น สิ่งที่ว่าฌานสมาบัตินั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นสมาธิก็ต้องเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเป็น สมาธิมันเป็นมิจฉา เวลาเป็นมิจฉาขึ้นมามันก็ส่งออก มันก็มีผลกับการส่งออกทั้งนั้น แค่ทำสมาธินี่หลวงตาท่านพูดประจำ แล้วท่านพูดไว้ในหัวใจของท่าน ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านเป็นธรรมนะ ท่านพูดถึงถ้าเวลาท่านเทศนาว่าการเพื่อเผยแผ่ธรรมะ เพื่อให้กำลังใจสังคมนะ ท่านก็พยายามของท่าน แต่เวลาพระ ครูบาอาจารย์ที่ท่านคุยกันเป็นการภายใน ท่านพูดเวลาแบบว่า ปลงสังเวช แม้แต่สมาธิมันยังทำกันไม่เป็นเลย มันจะภาวนาอะไรกัน

ภาษาเรานะ แม้แต่สมาธิยังทำไม่เป็น พื้นฐานมันยังทำ ไม่ได้เลย เราจะให้ความรู้ ให้วิธีการเขามากไปเกินกว่านั้น มัน จะเอาไปใช้เป็นได้อย่างไร คนนะ พื้นฐาน ไฟ ไม้ขีดไฟ อาวุธ ไม่ควรไว้ใกล้มือเด็ก บ้านใดมีเด็กน้อย สิ่งที่เป็นอันตรายต้องเก็บไว้เหนือมือของเด็ก เด็กมันจับของสิ่งนี้แล้ว ไฟมันไปจุดเล่น มันเผาบ้านเผาเรือนหมดล่ะ มีด ปืน มันฆ่ามันทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน มันไม่มีบาทฐาน ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน มันจะเอาอะไรไปสู้กับกิเลส แล้วให้ไปมันจะรู้ได้อย่างไร มันก็ไปจุดไฟเผาตัวมันเองทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้ 

ถ้ามันจะเป็นไปได้ เห็นไหม มันต้องทำความสงบของใจให้ได้ก่อน ถ้าทำความสงบของใจให้ได้มันก็แข็งแรงขึ้นมา ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมาแล้วนะ ไอ้สิ่งที่อาวุธขึ้นมา จิตสงบแล้วเราพยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันสงบบ้าง พอสงบบ้าง รสของธรรม รสของธรรมคือมันมหัศจรรย์กว่าอารมณ์ปกติของเรา แล้วถ้ารสของธรรม รสที่ว่ามีความสงบมันควรจะได้อย่างไร เราก็อยากได้อีกใช่ไหม พออยากได้อีกขึ้นมา เราก็ต้องจากเดิมที่เราทำมันสมดุลของมัน สมดุลคือมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางคือความสมดุลพอดี ความสมดุลพอดีมันไม่มีสูตรสำเร็จ ความสมดุลพอดีมันอยู่ที่บาปกรรม อยู่ที่วาสนาของคน บาปกรรมของคน

คนกินอาหาร รสชาติอร่อยไม่เหมือนกัน คนกินอาหาร ชอบอาหารไม่เหมือนกัน ความพอดีของคนมันเลยไม่เหมือนกัน ความพอดีนะมัชฌิมาปฏิปทาคือความพอดี ถ้าคือความพอดี เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันสมดุล มันพอดีของมัน มันก็สงบของมัน พอมันสงบของมันแล้ว เราต้องการอย่างนี้ เราจะบังคับจะให้เป็น ไม่มีทาง พอมันจะบังคับให้เป็น คนที่ภาวนาแล้ว ภาวนาที่มันล้มลุกคลุกคลานกันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่ เวลาบังคับจะให้ได้ บังคับจะให้ทำ มันไม่ได้ แต่เราต้องพยายามฝึกหัด ฝึกหัด ฝึกหัด หาช่องทางที่มันสมดุลพอดี สมดุลพอดี แล้วเราพยายามชำนาญในวสี ชำนาญในการหาวิธีแบบนั้น

อดนอนผ่อนอาหารขนาดไหน แล้วกำหนดจิตลงอย่างไร แล้วมันลงได้ พอมันลงได้ครั้งที่ ครั้งที่ เราจะให้ลงอีก มันจะลำบากขึ้น เหมือนของที่มันพอดีกัน เราสวมได้หนหนึ่ง หนที่ มือไม้สั่นหมดเลย แล้วสวมมันไม่เข้า มันจะเป็นอย่างนั้น เราหัดสวมบ่อยๆ ฝึกหัดบ่อยๆ หลับตาสวมได้เลย หลับตาก็ สวมได้เลย เพราะเราจังหวะเรารู้

นี่ก็เหมือนกัน ชำนาญในวสี ชำนาญในวสีไง ชำนาญหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วเราชำนาญของเรา เรารักษาของเรา ถ้ารักษาของเรา เห็นไหม รักษาของเราได้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามันมีเหตุของมันแล้วสมาธิมันจะหนีไปไหน สมาธิมันจะอยู่ได้ด้วยความเพียร ด้วยความวิริยอุตสาหะ ด้วยความคุ้มครองดูแลของเรา ถ้ามันได้แล้วมันสะเทือนตลอดล่ะ สะเทือน โลกธาตุ นี้สะเทือน โลกธาตุแบบทำสัมมาสมาธินะ 

เวลาสะเทือน โลกธาตุนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ฌานสมาบัติ มรรคผล มรรค เหตุ และผลมันเป็นสมมุติทั้งนั้น เวลามันเป็นธรรมๆ องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม- พุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม เวลาท่านไปถึงต้นรังทั้งคู่นั้น แล้วพระนั่งล้อมรอบ ทุกคนก็ถามว่าพระพุทธเจ้านิพพานหรือยังพระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะนั่งอยู่ที่นั่น พระอนุรุทธะเป็น เอตทัคคะในทางรู้วาระจิต พระอนุรุทธะบอกยัง ขณะนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน เห็นไหม เอาคุณธรรมอันนั้นน่ะ ธรรมอันนั้นน่ะมาเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เข้าสมาบัติ เวลาเข้าสู่สมาบัติ ลงมาแล้ว ขึ้น ลงมาแล้วขึ้น นี่ไง สิ่งที่มันไม่เป็นปัจจุบันก็ตรงนี้ไง แล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ระหว่างรูปฌาน อรูปฌาน พอนิพพานนะ พระอนุรุทธะบอกว่า 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว

ฉะนั้น จะบอกว่าสมาบัติเป็นสมาบัติ ธรรมมันเป็นธรรม สิ่งที่ว่าสะเทือน โลกธาตุแล้ว สิ่งที่เราพูดกันมันเป็นชื่อทั้งนั้น แต่ความจริงๆ มันคือหัวใจที่เราทำ ถ้าหัวใจที่เราทำ ถ้าหัวใจ ที่เป็นคุณธรรม ถ้ามันมีธรรมแล้ว ถ้ามันได้ธรรมแล้ว ถ้ามันมีคุณธรรม มันได้ธรรมแล้ว ธรรมเป็นธรรม เป็นอกุปปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เราพูดกันอยู่นี่ ไม่ใช่สมาบัติ ไม่ใช่กสิณ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ธรรมเป็นธรรม แต่ขณะที่เราปฏิบัติ มรรคคือเหตุและผล คือการกระทำให้มันเกิดขึ้น

ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือจิต ดูเข้าฌานสมาบัติ เห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เวลาถอยลงมา ถอยมาแล้วขึ้น เวลาถอย เวลามีกำลัง เหาะ รู้วาระจิต อภิญญา ของเล่น ของเล่นๆ แต่ถ้ามันเป็นจริงนะ นี่พูดถึงพระที่ทำได้จริงนะ อย่างเช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน แต่พระขี้โม้ทั่วประเทศไทยนะ ไม่ใช่พูดยืนยันว่าไอ้พระที่มันพูดแบบนี้แล้วมันทำได้ พูดแบบนี้ขึ้นคัทเอาท์กันทั้งนั้น ว่าตัวเองจะมีคุณธรรม หลอกลวงทั้งนั้น หลอกลวงเพราะอะไร 

หลอกลวงเพราะว่าในเมื่อโลกธรรม พระอรหันต์ ๖๐ องค์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ โฆษณาชวนเชื่อขึ้นคัทเอาท์ต่างๆ นี่บ่วงที่เป็นโลก อยากได้ชื่อเสียง อยากได้เงินของเขา บ่วงโลกทั้งนั้นเลย ถ้าของเอ็งยังติดในบ่วง ไร้สาระ บ่วงนั้นมันรัดคอมึงทั้งนั้น 

ครูบาอาจารย์ของเรานะเงียบกริบ เม้มปาก เก็บไว้ ในใจ รอลูกศิษย์ รอผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วมีปัญหา มา! ใครที่มีปัญหามาได้เลย พวกเราถึงไปหาครูบาอาจารย์กันเพื่อให้ ท่านแก้จิต แก้จิตไง การแก้จิตเขารอแก้เราอยู่ เราเป็นหรือเปล่า เราไม่เป็น เราถึงไม่มีใครแก้ให้เรา เพราะเราไม่เป็น เราไม่เป็นมันไม่ต้องให้ใครแก้ ถ้าอย่างเราต้องไปโรงพยาบาลศรีธัญญาให้หมอแก้ ไม่ใช่ให้อาจารย์แก้ อย่างพวกเราลองผิดปกติไปหาหมอที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ผิดปกติทางจิต จิตเวช ไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าครูบาอาจารย์เป็นธรรมแท้ๆ นะ 

นี่พูดถึงว่าเขาถามมาหลายครั้ง แต่วันนี้เขาก็ถามมาอีก ถ้าถามมาบอกอยากจะเข้มแข็ง ให้สะเทือน โลกธาตุ

คำว่าสะเทือน โลกธาตุมันสะเทือนจริงๆ แต่น้อยองค์นักที่สะเทือนในใจของท่าน สะเทือนแล้ว เวลาพูดกันโดยวงกรรมฐาน ท่านคุยแล้วท่านสะเทือนใจ สังเวช เพราะของสูง ของดี ของมหัศจรรย์ ไอ้พวกโจร มหาโจร มันเอาไปแสวงหา ผลประโยชน์ด้วยการหลอกลวง พลิกแพลง เล่ห์เหลี่ยม ฉ้อฉล แล้วประชาชนชาวพุทธในเมื่อเห็นว่าเป็นนักบวช เป็นกรรมฐาน ก็เชื่อกันไป เชื่อไอ้พวกพลิกแพลงเล่ห์เหลี่ยม หาผลประโยชน์ จากธรรมะของพระพุทธเจ้า ไอ้พวกนี้ไม่พ้นจากบ่วง ถ้าไม่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ทำไม่ได้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่เรื่องนี้ถ้าทำได้ เพราะทำได้ก็เหมือนเราว่า ว่ายน้ำได้ ขี่รถจักรยานได้ ขึ้นที่ไหนมันก็ขี่ได้เป็นเรื่องธรรมดา คนที่เข้าฌานสมาบัติได้ คนที่ทำใจของเขาได้ คนที่ทำได้ต้อง เป็นพระอริยบุคคล คำว่าพระอริยบุคคลเพราะไม่มีกิเลส คนมีกิเลสมันวูบวาบตามรูป รส กลิ่น เสียง มันดูแลใจมันไม่ได้ คนที่เป็นพระอริยสงฆ์ท่านไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง ไม่วูบวาบ ตื่นเต้นไปกับแก้วแหวนเงินทอง แสง สี เสียงต่างๆ นั่นน่ะ ท่านจะเข้าของท่าน ท่านจะทำของท่าน ด้วยความเป็นปกติของ ท่าน มันเป็นเรื่องของเล่น ว่าอย่างนั้นนะ คำว่าของเล่นใครๆ ก็ทำได้

ฉะนั้น พระที่มาพูดกันอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันนี้ เที่ยวโฆษณาอวดอ้างกันว่าเข้าสมาบัติร้อยแปดอะไรนั่นน่ะ โกหก ทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะเขาแสวงหาเงินหาทอง เขาแสวงหา ชื่อเสียง เขาแสวงหาคนไปเคารพนบนอบเขา แล้วถ้าไม่ติดบ่วงมึงโฆษณาทำไม ไม่ติดบ่วงมึงพูดทำไม อย่ามีเบื้องหน้า เบื้องหลัง อย่าพูดแต่ปาก ปากพูดหวาน แต่กิเลสในหัวใจท่วมหัว อย่าเอามาพูดหลอกลวงชาวบ้าน 

แต่นี้เราตอบปัญหาธรรม ตอบปัญหาที่ถามว่าถ้ามันสะเทือน โลกธาตุ มันสะเทือนอย่างไร อยากจะทำให้มันสะเทือน โลกธาตุ” 

มันสะเทือนจริงๆ มันมีจุดยืนจริงๆ มันทำได้จริงๆ แต่พวกเราลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์ของหลวงตา ลูกศิษย์ครูบา-อาจารย์แท้ๆ เลย อ่อนแอ อยากได้ ด้วยความมักง่าย ด้วย ความคิดเอา ไม่ทำด้วยความเพียร ไม่ทำด้วยความจริงใจ ทำด้วยความจริงใจ ความจงใจ มันจะเหลือบ่ากว่าแรงไปแค่ไหน เราทำได้ทั้งนั้นถ้ามันจริงจัง ถ้าจริงจังมันทำได้ มันมีของมัน อยู่แล้ว แต่พวกเราไม่ได้ ฉะนั้น พอไม่ได้ขึ้นมา สำหรับเรานะ เราก็ย้อนกลับไปที่วาสนา ย้อนกลับไปที่พันธุกรรมของจิต มันเป็นอดีตที่เราสร้างกันมา มันได้แค่นี้ก็คือแค่นี้ แต่ก็พยายามปลุกเร้า พยายามให้กำลังใจ เพื่อพยายามจะทำให้เข้มแข็งขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับเราไง สร้างสมขึ้นมา เห็นไหม

เพราะคำถามทำอย่างไรให้จิตตั้งมั่นเข้มแข็ง ให้สามารถระลึกถึงพุทโธ แล้วสะเทือน โลกธาตุตามที่พระอริยสงฆ์ท่านกล่าวไว้

หลวงตาท่านกล่าวไว้ประจำ กล่าวไว้จริงๆ แล้วเป็นความจริงของท่านด้วย แล้วใครก็ทำได้ ใครก็ทำได้ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของชาวพุทธที่ทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้ามันจะทำได้มันต้องมีความสามารถ มันต้องมีอำนาจวาสนา แม้แต่ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านชำนาญในทางอื่น ท่านก็ไม่ต้องการรู้สิ่งนี้ แต่เสร็จแล้วท่านไปรู้จริง ท่านก็เชื่อมั่นแบบนั้นเหมือนกัน จบ

ถาม : เรื่องความทุกข์

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ 

ผมรู้สึกโกรธมาก เมื่อโดนคนมาตบหัวในวันสงกรานต์ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด อยากตบคืนนะครับ แต่เขาเป็นผู้หญิง ผมเลยไม่ทำ และเขาสติไม่ดี แต่ผมต้องมานั่งเศร้าที่เขามาตบ เรา ผมไม่อยากเศร้าเลยครับ 

หลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วย

ตอบ : คำว่าชี้แนะ ชี้แนะธรรมโอสถๆ ถ้ามีธรรมโอสถ เห็นไหม กรณีที่คำถาม ถ้าเป็นเรานะ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะคนที่มาตบเราคือสติไม่ดี คนสติไม่ดีคือ เขาควบคุมตัวเขาไม่ได้อยู่แล้ว เรายิ่งน่าสงสารเขาอีกต่างหาก เห็นไหม 

ถ้าใครมาตบเรา เราก็โกรธนะ เราก็จะไปเอาเรื่องเขา แต่พอรู้เขาสติไม่ดี เรากลับสงสารเขา กลับอยากพาเขาไปรักษา อีกต่างหาก แต่ถ้าเขาเป็นคนปกติ แล้วเขาพาล เขามาทำร้ายเรา อย่างนี้ อ้าว! อยู่ดีๆ เราจะให้คนทำร้ายเราฟรีๆ หรือ เราก็แจ้งตำรวจ ให้ตำรวจจับไปลงโทษตามแต่กบิลเมือง แต่ถ้าเราจับเขาไม่ได้ เขาตบแล้ว เราจับตัวเขาไม่ได้ เราก็ยกประโยชน์ให้กับเวรกับกรรม ยกให้เวรกรรม เพราะเราเคยทำกรรมเขาไว้ เราเคยทำเวรเขาไว้ เขาทำเอา ต่อไปก็จบสิ้นกันไป

นี่พูดถึงว่าถ้ามีสติมีปัญญานะ คำว่ามีสติมีปัญญาเรื่องอย่างนี้มันเป็นการทดสอบจิตใจของชาวพุทธเรา ถ้าชาวพุทธ เราได้ฝึกดีแล้ว ได้ฝึกดีแล้ว ถ้ามีผลกระทบสิ่งใดแล้ว มันมีสติปัญญาเท่าทันทันทีเลย แต่ถ้าเราได้ฝึกมาน้อย เวลาตบมาแล้วเราก็เรียกร้อง เรียกร้องเพราะอะไร เพราะอยู่ดีๆ เขามาทำร้ายเรา เราถูกตลอด เราถูกต้อง ทุกคนก็เห็น ทุกคนต้องให้ความ เป็นธรรมกับผม ทุกคนต้องให้ความเป็นธรรม ร้องเรียน กลายเป็นความทุกข์สองชั้น สามชั้นไง . โดนเขาทำร้ายแล้ว . ยัง ต้องมาร้องเรียน ร้องเรียนให้คนมาเห็นใจเราอีก ให้เราเป็นทุกข์สองชั้น สามชั้นไง

แต่ถ้ามันมีสติปัญญา เห็นไหม ถ้าเราทำสิ่งใดได้เราก็ทำ ถ้าเราทำสิ่งใดได้หมายความว่าเราเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนต้องรักษาสิทธิ์ของตน เราเป็นคน คนมันมีสิทธิ์ตามสิทธิความเป็นมนุษย์ใช่ไหม ความเป็นมนุษย์มันก็เท่าเทียมความเป็นมนุษย์ไง ใครจะมาเหยียบย่ำใคร ใครจะมาทำลายใคร ใครจะยอม แต่ถ้ามันเป็นการกระทบกระทั่งกัน การกระทบกันมันก็ต้องดูที่เหตุผลว่าการกระทบกระทั่งเพราะเหตุใด แต่นี้การกระทบกระทั่งอันนี้ เรารู้เหตุผลแล้วว่าเขาเป็นคนเสียสติ จบเลย 

ทีนี้พอจบแล้วเขาเป็นคนเสียสติครับฉะนั้น สิ่งที่ เขาว่าอยากจะทำลายเขา แต่ไม่ทำ แต่เราก็ต้องมานั่งเศร้า ไอ้มานั่งเศร้า นั่งเศร้า นั่งเศร้าคือผลจากการกระทำของเขามันฝังใจ เรา ความฝังใจเรา แล้วความฝังใจนี้เราเอามาคิดทีไร เราก็เศร้าทุกที เราเอามาคิดทีไร

กรณีนี้เราพูดบ่อย พูดถึงมันเป็นธรรม เป็นธรรมของใคร เราต้องยืนยันธรรมของคนนั้น เป็นของหลวงปู่หลุย เราฟังเทศน์หลวงปู่หลุย หลวงปู่หลุยท่านบอกเลย 

อารมณ์ที่เราสละไปแล้ว คือเสลดที่เราบ้วนทิ้งไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่สกปรก ไม่มีใครจะไปเอามาประโยชน์อีก แต่เวลาคนที่ไปคิดแต่เรื่องอดีตๆ ท่านเปรียบเหมือนเราไปเลียกินเสลดที่เราเคยบ้วนทิ้งไปแล้ว อารมณ์ที่มันผ่านไปแล้วเหมือนเสลดที่เราบ้วนทิ้งไปแล้ว แล้วถ้าเราไปคิดอีก เท่ากับเราไปเลียกินเสลดของเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราเศร้ามาก เราไปคิดถึงประสบการณ์อันนั้น มันก็เหมือนเราไปเลียกินเสลดอันนั้น เราเองต่างหาก เป็นคนโง่ คนที่มาตบเราเขาสติไม่ดี เขาไม่รู้เรื่อง เขากลับบ้านไปแล้ว เรามานั่งเศร้า นั่งเสียใจอยู่ แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราเชิดหน้าขึ้นมาเลยผลของวัฏฏะ ผลการเวียนว่ายตายเกิด ผลของการเวียนว่ายตายเกิด สงกรานต์มันก็มีทุกปี ทุกปี สงกรานต์แต่ปีที่แล้วเราเที่ยวมาสนุก สงกรานต์ปีนี้เราไปเที่ยวแล้วโดนผู้หญิงตบหัว สงกรานต์ปีหน้าเราตั้งใจจะไปเอาคืนไหม สงกรานต์ปีหน้าเราก็ไปสรงน้ำเขาเบาๆ นะ” 

นี่ผลของวัฏฏะไง คำว่าผลของวัฏฏะมันหมุนเวียนของมันไป แล้วเราเป็นคนคนหนึ่งที่อยู่ในวัฏฏะนี้ ถ้าคนคนหนึ่งอยู่ในวัฏฏะนี้ สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมันเป็นประสบการณ์ชีวิต นี่พันธุกรรมของจิตๆ นี่แหละ จะตัดแต่งได้ไม่ได้ ถ้าพูดถึงถ้ามันเศร้า เศร้านี่คือบาดแผล ถ้าเรามีปัญญา ลบล้างบาดแผล เข้มแข็ง เห็นไหม จิตมันก็ดีขึ้น

นี่ไง พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ตรงที่เราจะตัดจะแต่ง ตัดแต่งด้วยสติด้วยปัญญาของเรานี่ไง ถ้ามันตัดแต่งด้วยสติด้วยปัญญานะ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบ ผลกระทบมันเป็นการเล่นกัน การเล่นกันมันมีการกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราจะไปเล่นกับเขา แต่ถ้าเราเล่นกับเขา ถ้ามันเล่นผิดกฎหมายมันก็ผิดตามกฎหมาย แต่นี่เป็นคนเสียสติด้วย มันก็ต้องบอกให้เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของเวรของกรรม ผลของวัฏฏะคือผลของเวรเดิม ผลของเวรของกรรมเก่า แล้วมาพบกัน มาชดใช้กัน แล้วก็แยกกันไป

นี่คือผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือการหมุนเวียนไป เหมือนเฟืองสองเฟืองมันหมุนกันไป แล้วมันมาขบกันพอดี แล้วมันก็หมุนต่อไป ไม่มีวันจบวันสิ้น ถ้าไม่มีวันจบวันสิ้นมันเป็นเวรเป็นกรรม แต่! แต่ถ้ามาปรุงแต่งมาใส่อารมณ์เข้าไป เพิ่มกิเลส เพิ่มโทษเข้าไป เพิ่มความโกรธแค้นเข้าไป แต่ถ้าคนมาใส่ธรรม อ๋อ! มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ เป็นเรื่องธรรมดา แก้ไข ถ้ามี ปัญญาเราแก้ไขตกแต่งทำให้ดี สิ่งที่เราพบกัน พบกันแล้ว ขอบคุณครับ แยกกันไป คราวหน้าเจอมีของฝาก แยกกันไป แต่ถ้ามันมีแต่ความอาฆาตมาดร้าย เจอกันก็มีแต่ความโกรธแค้น เติมแต่ฟืนแต่ไฟเข้าไป

นี่ผลของวัฏฏะ แต่ถ้าคนฉลาด ธรรมะไง เวลาเจอแล้วมีของฝากนะ บ๊ายบาย แล้วฝากของให้ด้วย เขาจะคิดถึงเรา แต่จิตใจเราดีขึ้น จิตใจเราดีขึ้น ผลของวัฏฏะ พันธุกรรมของจิตๆ ถ้าใครทำจิตอย่างนี้ ใครสร้างอย่างนี้ พระโพธิสัตว์สร้างอย่างนี้ไง พระโพธิสัตว์เกิดมาเสียสละชีวิตเพื่อสัตว์โลก พระโพธิสัตว์เอาชีวิตของตนเลยถวายเขา เอาชีวิตของตนเลยให้คนอื่นเพื่อมีความสุข

พันธุกรรมมันได้แต่งขึ้น ทำขึ้น ดีขึ้น แล้วองค์สมเด็จ- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ได้สร้างสมมาอย่างนี้ แล้วทำไมพระโพธิสัตว์ถึงไม่มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วใครไป ห้ามได้ ใครไปบิดเบือนได้ ใครจะไปบิดเบือนผลกระทำของ พระโพธิสัตว์ที่ทำมาจากอดีตชาติ พูดถึงวาสนานะ แต่ถ้ามันจะตรัสรู้ได้ก็ต้องมีมรรค ต้องมีศีล มีสมาธิ ปัญญา มันต้องมีสมาธิแล้วมีปัญญาอันนั้น ไปชำระล้างกิเลสอันนั้น ไปฆ่ากิเลสในใจของตนด้วย 

เพราะคนมันติดดีนะ เรานี่เป็นคนดีมากเลย ได้รางวัลเต็มบ้านเลย ใครจะมาติไม่ได้นะ ถ้าใครติว่าเราเลวนะ โอ้โฮ! มันโกรธแค้นตายเลย เพราะ เพราะไม่มีใครติเรา มีแต่คนชม คนชม รางวัลแขวนไว้เต็มบ้านเลย แต่ถ้าวันไหนมีคนมาติว่าเราคนชั่วนะ แค้นไอ้คนนั้นตายเลย นี่บอกติดดีไง แต่ถ้าเป็นคนดี เราเป็นคนดีมหาศาลเลย ถ้าใครจะบอกเราชั่ว อืม! กูชั่วหรือเปล่าวะ เออ! ถ้าชั่วจะแก้ไขให้เป็นคนดี จบ ไม่ติดดีของตน

ติดดีน่ากลัวมาก ติดชั่วกูนักเลงใหญ่ กูจะเที่ยวฆ่าเขา ติดดีดีมาก แล้วดีดีแบบติดดีมันใครติชมไม่ได้ ใครจะติอะไรไม่ได้ เพราะกูยอดเยี่ยม ติดดีก็น่ากลัว ฉะนั้น ทั้งดีและชั่ว มานะ ไม่มีในใจของตน ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น พูดถึงว่าผมทุกข์มาก ผม ทุกข์มากถ้าผมทุกข์มากก็คิดแบบสิ่งนั้นมันเป็น อย่าไปคิดว่าทั้งคนเขาจะมองเราหมด คนเรามันอายไง พอโดนตบโดนแกล้ง ขึ้นมา แล้วเราคนเดียวมันจะอับอายมาก ใครๆ ก็มองดูเรา ไม่มีหรอก เขาลืมหมดแล้วแหละ เหลือเราคิดคนเดียว ใครๆ เขาก็กลับบ้านไปหมดแล้ว แต่เราฝังใจ

มันแก้ที่เรานี่ ถ้าแก้ที่เรานี่นะ ขอบคุณเขาต่างหาก ขอบคุณเขา แล้วอย่างว่าเขาเป็นคนสติไม่ดีไง เราต้องเห็นใจเขานะ เขาสติไม่ดีเขาทุกข์นะ เราสติสมบูรณ์กว่า เรายังมีโอกาสได้เลือกมากกว่า แล้วสิ่งที่มันนั่งเศร้าใจ มันผลของวัฏฏะมันผ่าน ไปแล้ว ไม่ไปเก็บมาคิดอีก ไม่เก็บไปคิด ไม่เก็บมาอุ่นกิน ไม่เก็บมาคิดให้มันเศร้าใจไง ความเศร้าใจเกิดจากความคิดของตน ถ้าตนคิดแต่เรื่องดีๆ ความเศร้าใจจะไม่มี ความเศร้าใจหรือความต่างๆ เกิดจากความคิดเราทั้งนั้น ทุกอย่างเกิดจากความคิดของเรา เพราะสติไม่สมบูรณ์ ถ้าสติเราสมบูรณ์ เราคิดเท่าทัน อารมณ์แล้ว ความคิดจะเกิดไม่ได้ แล้วคิดแต่เรื่องดีๆ เห็นใจเขา สงสารเขา 

เราจะแนะนำเลย เขาอยู่ที่ไหนตามไปบ้านเขาเลย เอา ยาไปให้เขา เราทำบุญกลับไป นี่คืออะไร นี่คือกดกิเลสไว้ นี่คือบังคับไม่ให้กิเลสมันมีกำลังเหนือใจเรา การกระทำแบบนี้ ธรรมะแบบนี้ มันจะเยาะเย้ยกิเลสในใจของเรา เรายิ่งโกรธเขา เรายิ่งหมั่นไส้เขา เรายิ่งพยายามจะช่วยเหลือเจือจานเขา เพื่อเย้ยหยันกิเลสในใจเราไม่ให้มันฟูขึ้นมา ถ้าทำได้ แต่ทำยาก ใครๆ ก็ว่า ทำยาก แต่ถ้าทำได้นี่ธรรมโอสถ ถ้าทำได้อย่างนี้เราชนะเรานะ จะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่พูดถึงเขาถามว่าแล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปไง” 

เรากลับมาพุทโธ กลับมาตั้งสติไว้ทุกอย่างจะหายหมด ความเศร้า ความรู้สึกต่างๆ มันจะวางไปเอง วางไปเองเพราะจิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเราอยู่กับพุทโธๆ แล้วสิ่งที่มันกระทบกระเทือนใจเรามันจะวางไปเอง วางไปเอง จนมันจะหมดไป แล้วจิตเราจะเป็นอิสระ ใครๆ ก็มาเพ่งโทษจิตเราไม่ได้ เพราะจิตเรามีสมาธิ เพราะจิตเรามีพุทโธ จิตมีสติรักษา ใครจะมารังแกจิตเราไม่ได้ เพราะจิตเป็นของเราที่ใครก็ไม่เห็น มึงรังแกตัวกูได้นะ จะทุบตีได้ แต่ทุบตีหัวใจเราไม่ได้ ไม่มีใครเห็นหัวใจของเรา มันเป็นนามธรรม เอวัง